บูรณาการบัว 5 ดอก

บัวหลวงสัตตบงกช



ชื่อไทย : บัวหลวงสัตตบงกช
ชื่อสามัญ : roseum plenum, double red lotus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : nelumbo nueifera gaertn
ชื่ออื่นๆ : บัวหลวงฉัตรแดง, บัวหลวงป้อม
วงศ์ : nelumbonaceae
สกุล : lotus
ผู้ค้นพบ : เป็นบัวพื้นเมืองของทวีปเอเชีย
ประวัติ: เป็นบัวที่มีอยู่แล้วดั่งเดิมในทวีปเอเชีย
ถิ่นกำเนิด : ทวีปเอเชีย
ช่วงเวลาบาน : บานตอนกลางวัน (04.00 น. – 14.00 น.)
สี : สีชมพูแก่
กลิ่น : หอมอ่อนๆ
ลักษณะดอก :
ดอก ตูม : ทรงดอกโคนกว้างปลายเรียว อ้วนป้อม ความอ้วนกับความสูงเกือบจะเท่ากัน คือเส้นผ่าศูนย์กลางของดอกสั้นกว่าความยาวของดอกเพียงเล็กน้อย โคนสีเขียวอ่อน ปลายสีเหลือบชมพู
ดอกบาน :
– สีกลีบดอก : สีชมพูแก่
– เกสร : อับเรณูสีขาว ก้านอับเรณูสีเหลืองชมพูอ่อน ๆ เกสรเพศเมียสีเหลือบชมพูอ่อน
– ทรงกลีบดอก : โคนกว้างปลายเรียว
– ทรงดอกบาน : แผ่ครึ่งวงกลม , ทรงป้อมรูปถ้วย – กลีบดอก : ซ้อนมาก และกลีบเกสรซ้อนมาก
– ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง : 12 – 15 เซนติเมตร
ลักษณะก้านใบและก้านดอก : ก้านแข็ง เส้นผ่านศูนย์กลาง 1 – 1.5 เซนติเมตร เมื่อแก่จะเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลอ่อนเหลือบเขียว
สูงประมาณ 130 – 150 เซนติเมตร
ลักษณะใบ :
– ใบอ่อน : ใบอ่อนที่แผ่ราบบนผิวน้ำ มีลักษณะกลม หัว – ท้ายคอด หน้าใบสีเขียวอ่อน หลังใบสีเทาอมชมพู
– ใบแก่ : ใบที่ชูพ้นน้ำแล้ว หน้าใบสีเขียว หลังใบสีเขียวอ่อน หรือเทานวล
– ขนาดใบ : 30 – 45 เซนติเมตร
วิธีปลูก :
1. การปลูกในสระหรือบ่อ
2. การปลูกในกระถาง
การพักตัวของบัว : ไม่พักตัว
ความกว้างของผิวน้ำ : แคบ, ปานกลาง, กว้าง
ความลึกของน้ำ : ตื้น, ลึกปานกลาง , ลึก
แสง : รับแดด
การขยายพันธุ์ : เหง้า, ไหล
วิธีดูแลรักษา :
โรคและแมลงศัตรู
– แมลง : ไรแดง เพลี้ย และหนอนชอนใบ
– อาการ : ใบเหี่ยวแห้ง เป็นใบกระโถน ใบโปร่งฟ้า
การป้องกัน กำจัด : ใช้สารเคมีกลุ่มคาบาริล คาร์โบซัลเฟน เมทโธมิล ผสมน้ำ และสารจับใบฉีดพ่นทุก 2 – 3 สัปดาห์
ประโยชน ์: บัวหลวงมีประโยชน์ทุกส่วนของบัว เป็นไม้ดอกไม้ประดับ บูชาพระ อาหาร โอสถสาร สมุนไพร และเป็นของประดับตกแต่ง
ดอกบัวผัน






ชื่ออื่น : บัวขาบบัวนิล

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nymphaea cyanea Roxb. & G. Don

ลักษณะ : บัวผัน เป็นไม้น้ำ ดอกมีสีม่วง

ลักษณะพิเศษ : ไม้ดอกหอม

รายละเอียด : เป็นไม้น้ำพวกบัวสาย มีเหง้าอยู่ที่โคลนเลน มีใบและ

ดอกลอยอยู่เหนือผิวน้ำ ดอกเปลี่ยนสีได้ มีหลายสี สีคราม ฟ้าอ่อน

 ม่วง เหลือง ขาว เมื่อบานมีเส้นผ่าศูนย์กลาง 8-10 เซนติเมตร ความ

ยาวของก้านดอกขึ้นอยู่กับระดับของน้ำ ก้านดอกสามารถนำมารับ

ประทานได้

ฤดูดอกบาน : ออกดอกตลอดปี แต่ดกในช่วงฤดูร้อนและฤดูฝน ดอก

บานนาน วัน วันแรกและวันที่สองบานเวลาสายๆ และหุบเวลาเย็น

วันที่สามบานเวลาสายๆแล้วโรยเวลาบ่าย ส่งกลิ่นหอมในช่วงสายๆ

การปลูก : สามารถปลูกในภาชนะ อ่างบัว หรือสระน้ำ หมั่นใส่ปุ๋ยเร่งดอก จะออกดอกตลอดปี

วิธีการปลูกและดูแล :

ดินที่เหมาะสม ดินเหนียว ต้องการน้ำค่อนข้างมาก ควรปลูกในที่มีแสง

ทั้งวัน


วิธีการขยายพันธุ์ :
เพาะเมล็ด แยกหน่อ



บัวหลวง

ชื่ออื่น ๆ : บัวหลวงแดง, บัวหลวงขาว
ชื่อสามัญ : Sacred Lotus, Egyptian Lotus
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Nelumbo nucifera Gaertn.(Nelumbru speciosum Willd.)
ชื่อวงศ์ : NYMPHAEACEAE

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ :  

  • บัวหลวง เป็นไม้ล้มลุก มีเหง้าและไหลอยู่ใต้ดิน เหง้า จะมีลักษณะเป็นท่อนยาว มีปล้องสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลือง แข็งเล็กน้อย ถ้าตัดตามขวางจะเป็นรูกลมๆ หลายรู ไหลจะเป็นส่วนที่เจริญไปเป็นต้นใหม่
  • ใบบัวหลวง ใบเดี่ยวรูปโล่ ออกสลับ แผ่นใบจะชูเหนือน้ำ รูปใบเกือบกลม ขนาดใหญ่ ขอบเรียบและเป็นคลื่น ผิวใบมีนวล ก้านใบแข็งเป็นหนาม ถ้าตัดตามขวางจะเห็นเป็นรูภายใน ก้านใบมีน้ำยางขาว เมื่อหักจะมีสายใยสีขาว ใบอ่อนสีเทานวล ปลายม้วนงอขึ้นทั้งสองด้าน ก้านใบจะติดตรงกลางแผ่นใบ
  • ดอกบัวหลวง ดอกเดี่ยว มีสีขาว สีชมพู กลิ่นหอม บัวหลวงจะเริ่มบานตั้งแต่ตอนเช้า ก้านดอกยาวมีหนามเหมืนก้านใบ ชูดอกเหนือน้ำ และชูสูงกว่าใบเล็กน้อย กลีบเลี้ยง 4- 5 กลีบ ขนาดเล็ก สีขาวอมเขียว หรือสีเทาอมชมพู ร่วงง่าย กลีบดอกมีจำนวนมากเรียงซ้อนหลายชั้น เกสรตัวผู้มีจำนวนมากสีเหลือง ปลายอับเรณูมีระยางคล้ายกระบองเล็กๆ สีขาว เกสรตัวเมียจะฝังอยู่ในฐานรองดอกรูปกรวยสีเหลืองนวล
  • ผลบัวหลวง รูปกลมรีสีเขียวนวล มีจำนวนมาก ฝังอยู่ในส่วนที่เป็นรูปกรวย เมื่ออ่อนมีสีเหลือง รูปกรวยนี้เมื่อเป็นผลแก่จะขยายใหญ่ขึ้นมีสีเทาอมเขียว ที่เรียกว่า “ฝักบัว” มีผลสีเขียวอ่อนฝังอยู่เป็นจำนวนมาก

  • บัวเผื่อน

  • บัวเผื่อน เป็นพันธุ์ไม้น้ำคล้ายบัวสาย อายุหลายปี มีเหง้าและไหลอยู่ใต้ดิน และส่งใบดอกขึ้นมาบนผิวน้ำ บัวเผื่อนมีดอกให้ชมเกือบตลอดทั้งปี เริ่มบานตอนสายและหุบตอนบ่าย ออกดอกตลอดปี บัวเผื่อนมีชื่อพื้นเมืองอื่นว่า นิลุบล นิโลบล (กรุงเทพฯ) บัวผัน บัวขาบ (ภาคกลาง) ป้านสังก่อน (เชียงใหม่) และปาลีโป๊ะ (มลายู นราธิวาส)[1]
  • ลักษณะทางพฤกษศาสตร์

    ใบเป็นใบเดียวออกแบบเรียงสลับเป็นกลุ่ม แผ่นใบลอยบนผิวน้ำ ใบรูปไข่กว้าง ยาวประมาณ 10-25 ซม. กว้าง 8-18 ซม. ผิวใบเกลี้ยงหน้าใบสีเขียว ท้องใบสีเขียวอ่อนถึงสีม่วงจาง ปลายใบทู่ถึงกลมมน โคนใบเว้าลึก ฃอบใบเรียงถึงหยักตื้นๆ เส้นใบ 10-15 เส้น แยกจากจุดเชื่อมกับก้านใบ ก้านใบสั้นยาวไม่แน่นอน ขึ้นอยู่กับความลึกของน้ำ ปกติยาว 0.5-2 เมตร
    ดอกเป็นดอกเดี่ยว อยู่เหนือน้ำ มีสีขาวแกมชมพู ถึงอ่อนคราม กลิ่นหอมอ่อนๆ หากมีสีขาวแกมชมพูจะเรียกว่า “บัวเผื่อน” ส่วนดอกสีครามอ่อนและมีขนาดใหญ่เรียกว่า “บัวผัน” บางครั้งนักวิทยาศาสตร์แยกเป็น 2 ชนิด บางครั้งว่าเป็นชนิดเดียวกันแต่มี 2 พันธุ์ แต่ละดอกมีเส้นผ่านศูนย์กลาง 6-18 กลีบ มีเกสรตัวผู้สีเหลืองเป็นจำนวนมาก รังไข่มี 10-20 ช่อง ฝังตัวแน่นอยู่ใต้แผ่นรองรับเกสรตัวเมียรูปถ้วย ก้านดอกคล้ายก้านใบ และยาวไล่เลียกัน ผลจมอยู่ใต้น้ำหลังจากผสมเกสรแล้ว

    การปลูกเลี้ยง

    บัวเผื่อนพบขึ้นตามหนอง บึง ริมแม่น้ำที่มีกระแสน้ำอ่อนและขอบพรุ มีเขตการกระจายพันธุ์อยู่ทั่วทุกภาคของประเทศไทย ขยายพันธุ์โดยการใช้หน่อหรือเหง้า

    ประโยชน์ทางยา

    • ดอก รสฝาดหอมเย็น บำรุงหัวใจให้แช่มชื่น บำรุงกำลัง แก้ไขตัวร้อน แก้ไข้
    • บำรุงครรภ์
    • เมล็ด เมื่อฝักแก่ดอกร่วงหมดแล้วเรียกว่า”โตนดบัว” มีเมล็ดเล็กๆ คล้ายเมล็ดฝิ่น คั่วรับประทานเป็นอาหารได้ รสหอมมัน บำรุงร่างกาย บำรุงกำลัง
    • หัว ลักษณะเป็นหัวตะปุ่มตะป่ำ เหมือนโกฐหัวบัว รสหอมมัน เผ็ดเล็กน้อย บำรุงร่างกาย ชูกำลัง บำรุงครรภ์รักษา บำรุงหัวใจ บำรุงธาตุ
    ในตำรายาไทย บัวเผื่อนอยู่ในพิกัดบัวพิเศษ มี 6 อย่างคือ บัวหลวงแดง บัวหลวงขาว บัวสัตตบงกชแดง บัวสัตตบงกชขาว บัวเผื่อน และบัวขม ใช้แก้ไข้ แก้ลม เสมหะ และโลหิต บำรุงกำลัง บำรุงหัวใจ ทำให้แช่มชื่น แก้ร้อนในกระหายน้ำ แก้ไข้ตัวร้อน บำรุงครรภ์ นอกจากนั้น ในบัญชียาหลักแห่งชาติ ในตำรับยาหอมเทพจิตร มีดอกบัวเผื่อนเป็นส่วนผสมร่วมกับสมุนไพรอื่นๆอีกหลายชนิดในตำรับ มีสรรพคุณแก้ลมกองละเอียด ได้แก่ อาการหน้ามืด ตาลาย สวิงสวาย ใจสั่น และบำรุงดวงจิตให้ชุ่มชื่น [2]
  • บัวสายดอกสีแดง
 
nymphaea 01nymphaea 02
nymphaea 03
 

ชื่ออื่นๆ:บัวแดง สัตตบรรณ รัตตอุบล
ชื่อสามัญ:Red indian water lily  ENGLISH: Red water lily.  HINDI: Kokaa.  SANSKRIT: Kumuda.
ชื่อวิทยาศาสตร์:Nymphaea pubescens Willd.
ชื่อพ้องอื่นๆ
1. Nymphaea edulis (Salisb.) DC.
2. Nymphaea esculenta Roxb.
3. Nymphaea lotus auct.non L.
4. Nymphaea purpurea Rehnelt & F.
5. Nymphaea lotus L. var. pubescens (Willd.) Hook. f. & Thomson.
6. Nymphaea magnifica (Salisb.) Conard
7. Nymphaea rosea (Sims) Sweet, Henkel
8. Nymphaea rubra Roxb. ex Andrews.
วงศ์:NYMPHAEACEAE
ถิ่นกำเนิด:ประเทศไทย มีการกระจายตัวทั่วทุกภาคของเมืองไทย
ลักษณะทั่วไป:พืชล้มลุกอายุหลายปี มีเหง้าใต้ดิน
ฤดูการออกดอกติดผล:ตลอดปี
การขยายพันธุ์:เพาะเมล็ด
ข้อดีของพันธุ์ไม้:ปลูกง่ายโตเร็ว ดอกสวยงาม ทนต่อโรคและแมลงศัตรูบัว
ข้อแนะนำ:เจริญเติบโตได้ดีในพื้นที่มีน้ำไหลหรือมีอินทรียวัตถุมาก ต้องการแสงแดดเต็มวัน มีการแตกกอได้รวดเร็ว ไม่เหมาะกับพื้นที่จำกัด เช่น กระถางบัว รองบัวขนาดต่างๆ แต่เหมาะกับแหล่งน้ำที่มีพื้นที่กว้าง บ่อขนาดใหญ่ บึง
ข้อมูลอื่นๆ:บัวชนิดนี้สามารถนำมาประกอบอาหารได้ แต่ไม่นิยมเท่ากับบัวสายดอกสีขาว เนื่องจากมียางเวลาลอกเปลือกออก
หมายเหตุ:บัวชนิดนี้มีการเจริญเติบโตรวดเร็ว สามารถยืดสาย (ก้านบัว) ให้ยาวได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้ใบมาถึงผิวน้ำได้ก่อนที่ใบจะเน่า จึงเป็นบัวที่เหมาะสมกับพื้นที่มีความต่างของระดับน้ำ (พื้นที่มีน้ำขึ้น-น้ำลง) ได้ดีชนิดหนึ่ง
        บัวดอกสีขาวเรียก    โกมุท กมุท กุมุท เศวตอุบล
        บัวดอกสีชมพูเรียก    ลินจง
        บัวดอกสีม่วงแดงเรียก    สัตตบรรณ รัตตอุบล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

thailand4.0